ความรู้พื้นฐานของการประกันรถยนต์
การประกันรถยนต์คืออะไร ? มีกี่ประเภท แล้วทำไมต้องมี ?
ประกันรถยนต์ คือ การทำสัญญาระหว่างเจ้าของรถกับบริษัทประกันภัย โดยที่บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ บุคคล หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ความแตกต่างระหว่าง ประกันรถยนต์ภาคบังคับกับภาคสมัครใจ ต่างกันอย่างไร ?
8;8;k,
การประกันภัยรถยนต์ในเมืองไทย แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ ประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ มีความแตกต่างกันดังนี้:
ประกันภาคบังคับ (Compulsory Third Party Liability Insurance - CTPL):
เป็นประกันที่กฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องมี เป็นตัวกำหนดบังคับให้ทุกคนที่จะขับขี่รถยนต์ต้องมีกรมธรรม์
สำหรับในประเทศไทยก็มี พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.) ประกันรถยนต์ เพื่อไว้สำหรับ
ประกันความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก เช่น การชดเชยค่ารักษาพยาบาลหรือการชดเชยค่าชดเชยให้กับบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดจากการขับขี่รถยนต์ไปละเมิดต่อบุคคลอื่นนั่นเอง
ประกันภาคสมัครใจ (Voluntary Insurance):
เป็นประกันที่เจ้าของรถสามารถเลือกทำเพิ่มเติมได้เพื่อเพิ่มความคุ้มครองที่กว้างขึ้น ขึ้นอยู่กับความต้องการคุ้มครองและป้องกันความเสี่ยงที่คุณต้องการเพิ่มเติมต่อรถยนต์ของแต่ละบุคคล เช่น การคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยค่าเสียหายจากการชน การถูกโจรกรรม หรือความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศ ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งค่าเบี้ยประกันก็จะแตกต่างกันออกไป จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทุนประกัน ความคุ้มครองภายในซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามความพอใจของผู้เอาประกันเอง หรือที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ ประกันชั้น 1 , ชั้น 1+ , ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 , ชั้น 3+ นั่นเอง
ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท? และแบบไหนเหมาะกับคุณ
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
✅ คุ้มครองครบทุกกรณี (รถชน, ไฟไหม้, น้ำท่วม, รถหาย, คู่กรณี และไม่มีคู่กรณี)
✅ ค่าซ่อมรถตัวเอง + รถคู่กรณี
✅ ค่ารักษาพยาบาลคนขับและผู้โดยสาร
✅ คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
✅ เหมาะกับ รถใหม่, รถราคาแพง หรือผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1+
✅ คุ้มครองครบทุกกรณี (รถชน, ไฟไหม้, น้ำท่วม, รถหาย, คู่กรณี และไม่มีคู่กรณี)
✅ ค่าซ่อมรถตัวเอง + รถคู่กรณี
✅ ค่ารักษาพยาบาลคนขับและผู้โดยสาร
✅ คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
✅ เหมาะกับ รถใหม่, รถราคาแพง หรือผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด
❌ ต้องมีค่าเสียหายส่วนแรกเสมอ ตั้งแต่ 3,000 - 5,000 บาท แล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละบริษัท
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+
✅ คุ้มครอง รถชน (เฉพาะมีคู่กรณี) + รถหาย + ไฟไหม้
✅ ค่าซ่อมรถตัวเอง (กรณีชนกับรถเท่านั้น)
✅ ค่ารักษาพยาบาล และความเสียหายต่อบุคคลภายนอก
✅ ค่าซ่อมรถคู่กรณี
✅ เหมาะกับ รถที่อายุ 4-10 ปี ที่ยังต้องการคุ้มครองรถตัวเอง
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2
✅ คุ้มครอง รถหาย + ไฟไหม้
✅ คุ้มครองบุคคลภายนอก (ชีวิต, ร่างกาย, ทรัพย์สิน)
❌ ไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถตัวเอง
✅ เหมาะกับ รถเก่าที่ไม่ต้องการค่าซ่อมรถตัวเอง
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+
✅ คุ้มครอง รถชน (เฉพาะมีคู่กรณี)
✅ ค่าซ่อมรถตัวเอง (กรณีชนกับรถเท่านั้น)
✅ คุ้มครองบุคคลภายนอก (ชีวิต, ร่างกาย, ทรัพย์สิน)
❌ ไม่คุ้มครองรถหาย ไฟไหม้ หรือไม่มีคู่กรณี
✅ เหมาะกับ รถเก่าที่ใช้งานน้อย แต่ยังต้องการค่าซ่อมรถตัวเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
🔹 ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3
✅ คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก (ชีวิต, ร่างกาย, ทรัพย์สิน)
❌ ไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถตัวเองทุกกรณี
✅ เหมาะกับ รถเก่ามาก หรือผู้ที่ต้องการจ่ายน้อยสุดแต่ยังต้องการความคุ้มครองทางกฎหมาย
🔸 สรุป ความคุ้มครองประกันชั้นต่างๆ
ชั้น 1 → คุ้มครองครบทุกอย่าง
ชั้น 1+ → คุ้มครองครบทุกอย่าง (แต่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกกรณีเกิดอุบัติเหตุเสมอ)
ชั้น 2+ → คุ้มครองการชนกับพาหนะทางบก คุ้มครองทั้งรถคู่กรณี และรถเรา (ต้องมีคู่กรณี) คุ้มครองรถหาย คุ้มครองไฟไหม้ แต่ถ้าเป็นการไปชนกำแพงบ้านคนอื่นประกันซ่อมกำแพงให้บุคคลภายนอกแต่ไม่ซ่อมรถให้เรา
ชั้น 2 → กรณีรถชนรถ ประกันซ่อมให้รถคู่กรณีให้ แต่ไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถเรา คุ้มครองรถหาย คุ้มครองไฟไหม้
ชั้น 3+ → คุ้มครองการชนกับพาหนะทางบก (ต้องมีคู่กรณี) แต่ ไม่คุ้มครองรถหายหรือไฟไหม้
ชั้น 3 → คุ้มครองเฉพาะบุคคลภายนอก ไม่คุ้มครองกรณีรถหาย ไฟไหม้ ไม่ซ่อมรถเรา
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ มีใจความสำคัญอะไรอยู่ในนั้น?
เมื่อเราทำประกันภัยแล้วเราจะได้รับเอกสารฉบับหนึ่งเรียกว่ากรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นเอกสารที่บริษัทประกันภัยออกให้แก่ลูกค้า ซึ่งมักเป็นเอกสารที่มีลักษณะเป็นเอกสารสัญญา ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับความคุ้มครอง ความรับผิดชอบ และเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว กรมธรรม์ประกันรถยนต์จะระบุข้อมูลต่างๆ ดังนี้:
1. ข้อมูลส่วนบุคคล: รายละเอียดของเจ้าของรถและผู้ขับขี่
2. ข้อมูลรถยนต์: รายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่จะทำประกัน เช่น ยี่ห้อ รุ่น หมายเลขทะเบียน และหมายเลขตัวถัง
3. ความคุ้มครอง: รายละเอียดเกี่ยวกับความคุ้มครองที่ได้รับจากการประกันภัย เช่น ประเภทของประกันภัย (เช่น ประกันภาคบังคับ หรือ ประกันภาคสมัครใจ) และเงื่อนไขการคุ้มครอง
4. เงื่อนไขการเบี้ยประกัน: รายละเอียดเกี่ยวกับการชำระเบี้ยประกัน เช่น ราคาเบี้ยประกัน ระยะเวลาการชำระ และวิธีการชำระเงิน
5. ข้อความสัญญา: เงื่อนไขและข้อตกลงที่เกี่ยวกับการประกันภัย รวมถึงสิทธิ์และความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย
6. เงื่อนไขการชดเชย: รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเรียกร้องค่าเสียหาย และเงื่อนไขการชดเชยที่เกี่ยวข้อง
กรมธรรม์ประกันรถยนต์เป็นเอกสารสำคัญที่ควรเก็บไว้ให้ดี และควรอ่านและเข้าใจเงื่อนไขและข้อตกลงให้ดี หากมีข้อสงสัยให้รีบถามทางตัวแทนขาย หรือทางบริษัทฯ ก่อนทำการลงนามเพื่อป้องกันปัญหาจากความเข้าใจผิด ที่อาจเกิดในอนาคตได้
วิธีเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งาน
7 ข้อที่ต้องคำนึงถึงก่อนเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์
การเลือกประกันภัยรถยนต์สำหรับแต่ละคนนั้นไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ อาชีพ การงาน ส่วนตัวของแต่ละคน แต่ขอให้พิจารณาตามหลักการนี้ไว้ก่อน คือ
1. เลือกจากความคุ้มครองที่ต้องการ: โดยพิจารณาว่าเราต้องการประกันภัยเพียงชั้นพื้นฐาน (เช่น ประกันภาคบังคับ พ.ร.บ.) ประกันรถยนต์ชั้นความรับผิดชอบอย่างเดียว ประกันรถยนต์ชั้นครบวงจร (comprehensive) หรือต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมและครอบคลุมอื่นๆ (เช่น ประกันภาคสมัครใจ)
2. การวิเคราะห์ความเสี่ยง: วิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ดื่มแอลกอฮอลล์ แล้วขับรถบ่อยๆ ,สายตาไม่ดี , มีปัญหาสุขภาพ , กิจกรรมโลดโผนมีความเสี่ยง เช่น ใช้รถออกเที่ยว ในเขตที่มีความเสี่ยงสูง หน้าผา ภูเขา , ความเสี่ยงจากการชน, การถูกขโมย, ความเสียหายจากสภาพอากาศ, และอื่นๆ ( ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อค่าเบี้ยประกันภัย)
3. เงินทุนประกันและความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน: ควรพิจารณาถึงเงินเบี้ยประกันที่เพียงพอสำหรับการชำระเบี้ย เพราะการทำไว้น้อยกว่าความเป็นจริงหากเกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วต้องมีการจ่ายส่วนเพิ่มเติม เราจะสามารถรับมือได้โดยไม่เดือดร้อนในภายหน้าหรือไม่
4. ประวัติของบริษัทประกันภัย: ควรทำการสำรวจและทบทวนประวัติของบริษัทประกันภัยที่เราสนใจ รวมถึงการบริการลูกค้า การชดเชยความเสียหาย และความน่าเชื่อถือ ได้รับความสะดวกสบายในการเคลม: ดูรีวิวและข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเคลมของบริษัทประกัน เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสะดวกสบายเมื่อคุณต้องการทำการเคลม ควรเลือกบริษัทประกันที่เชื่อถือได้และมีความเสถียรภายใต้เงื่อนไขที่มั่นใจได้
5 . การพิจารณาราคา: เปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์จากหลายๆ บริษัทเพื่อหาแผนที่มีความคุ้มค่าและความเหมาะสมที่สุด แอพพลิเคชั่นฟินบนมือถือ สามารถเทียบราคาจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ชั้นนำได้ถึง 25 บริษัท สามารถดาวน์โหลด ได้ฟรีไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ตลอดอายุการใช้งาน
6. ส่วนลดและสิทธิประโยชน์เสริม: ควรตรวจสอบว่าบริษัทประกันภัยมีการให้ส่วนลดหรือสิทธิประโยชน์เสริมใดๆ ที่อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือเพิ่มความคุ้มครองให้กับเราได้บ้าง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
7. เงื่อนไขของกรมธรรม์: ควรทบทวนและเข้าใจเงื่อนไขและข้อบังคับของกรมธรรม์ประกันภัยให้เข้าใจอย่างชัดเจนอ่านเงื่อนไขและข้อจำกัดของแผนประกันให้รอบคอบ เช่น ความคุ้มครองสูงสุด, ความรับผิดชอบ, เงื่อนไขการเคลม, และข้อยกเว้น
การพิจารณาและเลือกประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากมันมีผลต่อความคุ้มครองของรถยนต์และความเป็นไปได้ในการประเมินความเสี่ยงในอนาคตของเรา ดังนั้นเราอาจต้องใช้บริการที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาในการเลือกประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสม
20 เงื่อนไขสำคัญในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ควรรู้ 🚗💡
1. ความคุ้มครองหลัก :
ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น ค่าซ่อมรถตัวเอง, ความเสียหายต่อคู่กรณี, รถหาย, ไฟไหม้, น้ำท่วม
2. ข้อยกเว้นความคุ้มครอง
มีบางกรณีที่บริษัทประกันไม่รับผิดชอบ เช่น
❌ เมาแล้วขับ (แอลกอฮอล์เกิน 50 มก.)
❌ ขับแข่งรถผิดกฎหมาย
❌ ใช้รถผิดประเภท เช่น รถส่วนตัวไปใช้รับจ้าง
3.ผู้ขับขี่ระบุชื่อ vs. ไม่ระบุชื่อ
ระบุชื่อ → เบี้ยถูกกว่า แต่ถ้าคนอื่นขับอาจไม่ได้รับความคุ้มครอง
ไม่ระบุชื่อ → ใครขับก็เคลมได้ แต่เบี้ยจะแพงขึ้น
4.ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible/Excess)
ถ้ามีระบุ เช่น "ค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท" → หมายถึงทุกครั้งที่เคลมต้องจ่ายเอง 2,000 บาทก่อน
5.วิธีเคลม (เคลมสด vs. เคลมแห้ง)
เคลมสด → แจ้งเหตุทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ (เช่น รถชน)
เคลมแห้ง → แจ้งเคลมภายหลัง (เช่น รอยขีดข่วน ไม่มีคู่กรณี)
6.ซ่อมห้าง vs. ซ่อมอู่
ซ่อมห้าง (ศูนย์บริการ) → ราคาแพงกว่า แต่คุณภาพอะไหล่แท้
ซ่อมอู่ → ราคาถูกกว่า อาจใช้เวลาเร็วกว่าบางกรณี
7.ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอก
คุ้มครอง ชีวิตและทรัพย์สินของคู่กรณี รวมถึงค่ารักษาพยาบาล
8.การต่ออายุและปรับเบี้ยประกัน
ถ้าไม่มีเคลม → ปีต่อไปอาจได้ ส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus)
ถ้าเคลมบ่อย → อาจถูกปรับเบี้ยแพงขึ้น
9.กรณีเปลี่ยนแปลงข้อมูลรถหรือผู้ขับขี่
หากเปลี่ยนเจ้าของรถ เปลี่ยนทะเบียน หรือเปลี่ยนผู้ขับหลัก ต้องแจ้งบริษัทประกัน มิฉะนั้นอาจไม่ได้รับความคุ้มครอง
10. การยกเลิกกรมธรรม์
สามารถยกเลิกก่อนหมดอายุได้และอาจได้รับเงินคืนบางส่วน แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขการคืนเงิน
11.การแจ้งเคลมล่าช้า อาจถูกปฏิเสธ
หากเกิดอุบัติเหตุ ควรแจ้งเคลมภายในระยะเวลาที่กำหนด (ปกติไม่เกิน 24 ชั่วโมง) หากแจ้งล่าช้า อาจถูกปฏิเสธการเคลมได้
12.กรณีรถถูกขโมย ต้องแจ้งความก่อน
หากรถหาย ต้องแจ้งความกับตำรวจและส่งสำเนาใบแจ้งความให้บริษัทประกันก่อนดำเนินเรื่องเคลม
13.ประกันไม่คุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม
หากมีการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ล้อแม็กซ์ เครื่องเสียง ต้องแจ้งบริษัทประกันและซื้อความคุ้มครองเพิ่ม มิฉะนั้นอาจไม่ได้รับค่าชดเชย
14. เคลมประกันแล้วอาจมีผลต่อเบี้ยปีถัดไป
หากมีการเคลมในปีปัจจุบัน อาจทำให้เบี้ยประกันในปีถัดไปสูงขึ้น หรือไม่ได้รับส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus)
15.ค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ประกันแต่ละประเภทให้วงเงินค่ารักษาพยาบาลต่างกัน ควรตรวจสอบว่าวงเงินเพียงพอหรือไม่
16.ความคุ้มครองกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติ
บางกรมธรรม์ไม่ครอบคลุมกรณีน้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว หากต้องการความคุ้มครองเพิ่ม ต้องซื้อประกันเพิ่มเติม
17.การใช้รถผิดประเภทอาจถูกปฏิเสธการเคลม
หากรถส่วนตัวถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์ เช่น บริการรับส่ง หรือขนของ อาจไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกันที่ซื้อไว้
18. การขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่ อาจไม่ได้รับความคุ้มครอง
หากเกิดอุบัติเหตุและผู้ขับไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชย
19.การแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่หรือข้อมูลสำคัญ
หากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ หรือข้อมูลสำคัญ เช่น การโอนรถไปให้บุคคลอื่นขับขี่เป็นหลัก ควรแจ้งบริษัทประกันทันที
20.สามารถเลือกซื้อประกันเสริมเพิ่มเติมได้
เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันคุ้มครองอุปกรณ์เสริม หรือประกันช่วยเหลือฉุกเฉิน (รถยก, ซ่อมฉุกเฉิน)
📌 สรุป: การอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างละเอียด และทำความเข้าใจสิทธิ์ของตัวเอง จะช่วยให้ไม่พลาดสิทธิ์สำคัญเมื่อต้องเคลมประกัน 🚗💨
เหตุผลที่บางคนเลือกไม่ซื้อประกันรถยนต์ และข้อเสียของการไม่มีประกัน
การทำประกันรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ในความเป็นจริง มีหลายคนที่เลือกไม่ทำประกันรถยนต์ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยทางการเงิน ความเชื่อส่วนตัว หรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจำเป็นของประกันภัย อย่างไรก็ตาม การไม่มีประกันรถยนต์อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงและผลเสียหลายประการ มาดูกันว่าเหตุผลที่บางคนเลือกไม่ทำประกันคืออะไร และข้อเสียของการไม่มีประกันรถยนต์มีอะไรบ้าง
เหตุผลที่บางคนเลือกไม่ซื้อประกันรถยนต์
-
ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
-
หลายคนมองว่าค่าเบี้ยประกันเป็นภาระทางการเงิน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้จำกัดหรือต้องการลดค่าใช้จ่ายในแต่ละปี
-
-
มีความมั่นใจในการขับขี่ของตนเอง
-
บางคนคิดว่าตนเองขับขี่ปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ จึงไม่เห็นความจำเป็นในการทำประกัน
-
-
รถเก่าหรือมูลค่าต่ำ
-
เจ้าของรถที่มีอายุมากหรือมูลค่าต่ำอาจคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเบี้ยประกัน เนื่องจากค่าซ่อมอาจต่ำกว่าค่าเบี้ยประกัน
-
-
เข้าใจผิดว่า พ.ร.บ. คุ้มครองเพียงพอ
-
หลายคนเข้าใจผิดว่าประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) สามารถคุ้มครองค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งในความเป็นจริง พ.ร.บ. คุ้มครองเฉพาะค่ารักษาพยาบาล ไม่ครอบคลุมค่าซ่อมรถและความเสียหายอื่น ๆ
-
-
มองว่าการเคลมประกันยุ่งยาก
-
บางคนกลัวว่าการเคลมประกันต้องใช้เอกสารยุ่งยาก หรือเคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับบริษัทประกันมาก่อน จึงเลือกที่จะไม่ทำประกัน
-
-
มีเงินสำรองเพียงพอสำหรับซ่อมรถเอง
-
ผู้ที่มีฐานะทางการเงินดีอาจเลือกไม่ทำประกัน เพราะสามารถจ่ายค่าซ่อมรถเองได้เมื่อต้องการ
-
-
ข้อเสียของการไม่มีประกันรถยนต์
-
ต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถเองทั้งหมด
-
หากเกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีประกันภัย เจ้าของรถต้องจ่ายค่าซ่อมรถทั้งหมดเอง ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินคาด
-
-
เสี่ยงต่อภาระหนี้สินจากการชนคู่กรณี
-
หากเกิดอุบัติเหตุและเป็นฝ่ายผิด อาจต้องจ่ายค่าซ่อมรถของคู่กรณี รวมถึงค่ารักษาพยาบาลของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
-
-
อาจไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล
-
หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรงและได้รับบาดเจ็บ ค่ารักษาพยาบาลอาจสูงมาก และหากไม่มีประกัน ต้องจ่ายเองทั้งหมด
-
-
ความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง
-
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณี ซึ่งอาจนำไปสู่ภาระทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
-
-
ไม่มีความช่วยเหลือฉุกเฉิน
-
ประกันภัยบางประเภทมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น บริการรถยกหรือช่างซ่อมฉุกเฉิน ซึ่งหากไม่มีประกัน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
-
-
อาจต้องเสียเงินมากกว่าค่าประกันในระยะยาว
-
แม้ว่าค่าเบี้ยประกันอาจดูเป็นภาระในตอนแรก แต่หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเองอาจสูงกว่าค่าเบี้ยประกันหลายเท่า
-
-
ไม่มีความอุ่นใจในการขับขี่
-
ผู้ที่ไม่มีประกันอาจต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากมีอุบัติเหตุ ซึ่งอาจส่งผลต่อสมาธิในการขับขี่
-
-
รถถูกขโมยหรือเสียหายจากภัยธรรมชาติแล้วไม่ได้รับเงินชดเชย
-
หากไม่มีประกันและรถถูกขโมยหรือเสียหายจากน้ำท่วม ไฟไหม้ เจ้าของรถจะไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ
-
-
ไม่สามารถใช้สิทธิ์ No Claim Bonus ในอนาคตได้
-
หากไม่มีประกัน หมายความว่าไม่มีโอกาสได้รับส่วนลดเบี้ยประกันจากประวัติขับขี่ดีในอนาคต
-
-
อาจส่งผลต่อสถานะทางการเงินของครอบครัว
-
หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรงและต้องจ่ายค่าซ่อมหรือค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อเงินออมและสภาพคล่องทางการเงินของครอบครัว
แม้ว่าการไม่ซื้อประกันรถยนต์อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะสั้น แต่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอาจทำให้ต้องเสียเงินมากกว่าเดิมในระยะยาว การทำประกันรถยนต์จึงเป็นการลงทุนที่ช่วยลดภาระทางการเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ดังนั้น การเลือกทำประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนเอง จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและมีความอุ่นใจมากขึ้น


การต่ออายุกรมธรรม์ประกันรถยนต์
สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการต่ออายุกรมธรรม์
1. ตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ประกันเดิม : ก่อนที่จะต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ให้ตรวจสอบข้อมูลในกรมธรรม์ประกันปัจจุบัน รวมถึงประเภทของความคุ้มครอง วงเงินความคุ้มครอง และค่าเบี้ยประกันปัจจุบัน ว่าถูกต้องตามต้องการหรือไม่
2. ติดต่อกับบริษัทประกันภัย : หลังจากตรวจสอบข้อมูลในกรมธรรม์ประกันปัจจุบันแล้ว ให้ติดต่อกับบริษัทประกันภัยที่เราเลือกใช้ เพื่อทำการต่ออายุ บางบริษัทอาจมีระบบออนไลน์ที่ใช้ต่ออายุได้ หรือติดต่อผ่านทางโทรศัพย์ ทางอีเมล์ แล้วแต่สะดวก
ตรวจสอบข้อเสนอใหม่: บางบริษัทประกันภัยอาจมีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ต้องการต่ออายุ ดูข้อเสนอและส่วนลดที่อาจจะสามารถใช้ได้ในการต่ออายุกรมธรรม์
3. ตรวจสอบความคุ้มครองใหม่ : ในกรณีที่ต้องการเพิ่มหรือปรับปรุงความคุ้มครองสำหรับรถ เช่น เพิ่มความคุ้มครองสำหรับความเสียหายจากอุบัติเหตุหรือสูญหาย การต่ออายุกรมธรรม์ปีต่อ สามารถแจ้งปรับเปลี่ยนกับตัวแทนประกันได้ทันที
4. ชำระเบี้ยประกัน : ขั้นตอนสุดท้าย ต้องชำระเบี้ยประกันสำหรับการต่ออายุ เราสามารถชำระเบี้ยได้ผ่านช่องทางที่บริษัทประกันภัยกำหนด เช่น ชำระผ่านทางออนไลน์ ชำระผ่านทางธนาคาร หรือ QR Code ของบริษัทตัวแทนนายหน้าต่างๆ ได้ทันที
การต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบันสะดวกขึ้นมาก เราสามารถซื้อผ่านตัวแทนนายหน้า(Broker) หรือซื้อผ่านออนไลน์ ได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น แต่ในทางปฎิบัติควรยื่นต่ออายุก่อนที่ถึงวันที่กรมธรรม์หมดอายุจริง ปกติเราสามารถต่ออายุก่อนได้ถึง 3 เดือน แต่อย่างน้อยควรทำเรื่องต่อก่อน 15 วัน กรณีที่เราใช้บริการผ่านตัวแทนนายหน้า เนื่องจากบางกรณีจำเป็นจะต้องมีการดำเนินการด้านเอกสาร อาจต้องมีระยะดำเนินการทำให้รถอาจขาดประกันได้ ทางที่ดีควรต่ออายุไว้แต่เนิ่นๆ และก่อนทำควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลและเงื่อนไขต่างๆ ในกรมธรรม์ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจต่ออายุ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมสำหรับที่สุดต่อไป
เอกสารที่ต้องใช้ในการต่อประกันรถยนต์
อาจแตกต่างไปตามแต่ละบริษัทประกัน แต่ทั่วไปแล้วมีดังนี้คือ
สำเนากรมธรรม์ประกันเดิม: ของรถยนต์ที่ต้องการต่อประกัน เนื่องจากจะมีระบุรายละเอียดเกี่ยวกับรถและความคุ้มครองที่คุณได้รับในปีก่อน
สำเนาใบขับขี่รถยนต์หรือสำเนาบัตรประชาชน: ใช้เพื่อยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขับขี่และความเป็นเจ้าของรถ
เอกสารสถานะปัจจุบันของรถยนต์: เช่น ใบทะเบียนรถยนต์ ใบเช็ครถ เอกสารที่แสดงสถานะของรถยนต์ รายละเอียดเกี่ยวกับรถ เช่น หมายเลขทะเบียน ยี่ห้อ รุ่นรถ หมายเลขตัวถัง และชื่อกรมสิทธิ์ผู้ครอบครองรถที่เป็นปัจจุบัน
เอกสารการชำระเงิน: เอกสารการชำระเงินเบี้ยประกันที่อยู่ระหว่างรอดำเนินการหรือชำระเงินต่อการประกันใหม่
เอกสารขอเปลี่ยนผู้ดูแลจากตัวแทนนายหน้าเดิม มาเป็นตัวแทนนายหน้าใหม่ (ถ้ามี): เพื่อเป็นการแสดงความจำนงค์เปลี่ยนจากผู้ดูแลเดิม มาเป็นผู้ดูแลใหม่
เอกสารขอผ่อนชำระ (ถ้ามี) : กรณีที่ใช้สิทธิ์ขอผ่อนกับทางบริษัทตัวแทนนายหน้า ( 3 งวด 6 งวด 10 งวด)
เอกสารการปรับปรุงความคุ้มครอง (ถ้ามี): เช่น เพิ่ม/ลด ความคุ้มครองหรือปรับเปลี่ยนประเภทของความคุ้มครอง
เอกสารสำหรับลูกค้าใหม่ (ถ้ามี): ในบางกรณี บริษัทประกันอาจต้องการเอกสารเพิ่มเติมจากลูกค้าใหม่ เช่น ใบแสดงรายได้หรือ
เอกสารการยืนยันที่อยู่ เพื่อการตรวจสอบเพิ่มเติม
อย่าลืมติดตามคำแนะนำของบริษัทประกันที่เลือกใช้ และตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจจำเป็นตามเงื่อนไขแต่ละบริษัท การมีเอกสารที่ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยให้กระบวนการต่อประกันรถยนต์เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
พ.ร.บ. ประกันภัย ภาษี ของรถยนต์ แตกต่างกันยังไง?
พ.ร.บ.
พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
พ.ร.บ.นี้ เป็นกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยเพื่อคุ้มครองและสนับสนุนผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากการชุมนุม หรือภัยจากสงคราม เป้าหมายหลักของพระราชบัญญัตินี้คือการให้การคุ้มครองแก่ผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายอย่างไม่ยุติธรรม ในกฎหมายฉบับนี้จะประกอบไปด้วยการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการภัยพิบัติและการส่งเสริมการป้องกัน การเตรียมความพร้อม การช่วยเหลือ และการฟื้นฟูหลังภัย นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยอย่างเหมาะสมและพิจารณาถึงสภาวะและความต้องการของผู้ประสบภัยด้วย
*** ถือเป็นภาคบังคับตามกฎหมายไม่ทำไม่ได้ หากฝ่าฝืนมีโทษดังนี้
- เจ้าของรถมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ผู้ใช้รถมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- หากเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้นำรถที่ไม่มี พ.ร.บ. ไปใช้ จะมีโทษปรับทั้งสองกระทง ตามความผิด
อ่าน พ.ร.บ. ฉบับแรก โดยละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
อ่าน พ.ร.บ. ฉบับเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
ประกันภัยรถยนต์
ประกันรถยนต์ ถือเป็นภาคสมัครใจ สามารถจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วรถยนต์ทุกคันควรมีทำประกันไว้ เนื่องจากในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขั้นร้ายแรง บริษัทฯประกัน จะช่วยบรรเทาทุกข์ในทางการเงิน สร้างความอุ่นใจใ้ห้กับผู้ประสบเหตุ ช่วยเป็นตัวกลางระหว่างเราและคู่กรณี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของประกันจะมีความชำนาญเฉพาะทางสามารถแนะนำเราในแนวทางที่เหมาะสมได้อย่างดีที่สุด
รูปแบบของการเอาประกันภัยนี้ คือผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันแต่ละครั้งตามระยะเวลาที่กำหนดโดยบริษัทประกัน โดยปกติจะทำการประกันเป็นราย 1 ปี ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องชำระเบี้ยประกันเมื่อต้องการประกันรถโดยสามารถเลือกซื้อประกันจำนวนเงินที่ต้องการตามความเสี่ยงที่ต้องการเองได้ การประกันภัยแบบนี้จะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมกับเหตุการณ์หลายอย่าง เช่น อุบัติเหตุทั่วไป การชนกัน การถูกขโมย และความเสียหายจากภัยพิบัติต่าง ๆ ไฟไหม้ แต่ราคาเบี้ยประกันมักจะสูงกว่ารูปแบบประกันภัยอื่น ๆ เนื่องจากมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่า
การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจนั้นให้ พิจารณาถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นตามความเหมาะสมของเราเอง เช่นพิจารณาจาก อาชีพที่เราทำอยู่ ว่ามีความเสี่ยงขนาดไหน ใช้เวลาอยู่กับรถกับท้องถนนวันละ หลายๆ ชั่วโมง หรือแค่ขับเช้าไป เย็นกลับ เราดื่มสุราหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เราเสี่ยงกับการที่รถจะเฉี่ยวชนได้มาก อีกทั้งความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันที่เรามี ฉะนั้นก่อนการทำประกันควรเลือกทำกับตัวแทนนายหน้า หรือ บริษัทที่มีชื่อเสียง บริการดี ไว้ใจได้ เบี้ยประกันเหมาะสมกับเราที่สุด เพื่อทำให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมและไม่เสียเงินมากเกินความจำเป็นเกินไป
การต่อภาษี กฎหมายกำหนดไว้ต้องต่อทุกปี หากรถคันใดไม่ทำ พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อภาษีได้
รถยนต์คันได้มีอายุเกิน 7 ปี ต้องทำการตรวจสภาพก่อนทำการต่อภาษีประจำปี
เลข รย.ในสมุดเล่มทะเบียนรถ และสีของป้ายทะเบียนรถ บอกความหมายถึงรถแต่ละชนิด และแยกประเภทรถ ยังไงกันบ้าง ?
เพื่อนๆ เคยสังเกตุกันบ้างไหมว่ารถที่เราเห็นแล่นกันอยู่ตามท้องถนนมีสีป้ายและสีตัวอักษรไม่เหมือนกันเลย เนื่องจากรถแต่ละประเภทถูกแบ่งตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกไว้แล้ว มาดูกันค่ะ
